อาการปวดหลังร้าวลงขา |
อาการปวดหลังเรื้อรัง เป็นอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้โดยทั่วไป ทั้งอาการปวดหลังเฉียบพัน อาการปวดร้าวลงขาแบบเฉียบพลัน แต่นับว่ายังโชคดีที่กว่าร้อยละ 70 ของอาการปวดหลังในบุคคลทั่วไปสามารถทุเลาได้เองภายใน 2 สัปดาห์ และมากกว่าร้อยละ 90 ที่สามารถทุเลาได้เองภายใน 4 – 6 สัปดาห์ การอักเสบตึงเครียดบริเวณข้อต่อ กล้ามเนื้อ หรือหมอนรองกระดูกบริเวณส่วนหลังของร่างกาย มักจะเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดอาการปวดหลัง กิจกรรมการเคลื่อนไหวบางอย่างโดยเฉพาะการยกของหนักบ่อยๆ การก้ม และการบิดเอี้ยวตัว ก็สามารถทำให้อาการปวดหลังแย่ลงได้ อากัปกิริยาที่ไม่ถูกต้องตามหลักสุขลักษณะบางอย่าง หรือปัญหาทางสุขภาพ เช่น การติดเชื้อที่บริเวณอื่น โรคภูมิแพ้บางชนิด โรคข้ออักเสบเรื้อรัง ความเครียดของจิตใจก็สามารถทำให้อาการปวดหลังแย่ลงได้เช่นกัน บทความนี้นี้จัดทำขึ้นเพื่ออธิบายภาพรวมของปวดหลังเรื้อรัง และแนวทางการดูแลรักษาตามลำดับขั้นตอนและเวลา ที่จะเกิดขึ้นระหว่างการฟื้นฟูร่างกายจากโรคปวดหลังนี้ รวมไปถึงต้นเหตุของอาการปวดหลัง วิธีการง่ายๆ สำหรับดูแลและบรรเทาอาการปวด และสัญญาณเตือนที่บ่งชี้ว่าท่านต้องการการรักษาแบบเฉพาะทางมากขึ้น ข้อแนะนำวิธีป้องกันการเกิดซ้ำของปวดหลังเรื้อรัง เช่น ท่าบริหารสำหรับโรคปวดหลัง
ประเภทของโรคปวดหลัง
สัญญาณเตือนปวดหลังเรื้อรัง ในบางสถานการณ์แพทย์อาจต้องทำการตรวจทางกายภาพเพื่อยืนยันถึงสาเหตุอาการปวดหลังที่ไม่ปกติ ท่านควรให้ความร่วมมือแก่แพทย์โดยการบอกเล่าถึงการเปลี่ยนแปลงของอาการของโรคอยู่เสมอ อาจมีการนัดหมายเพื่อติดตามอาการภายใน 1 – 3 สัปดาห์หลังจากการตรวจครั้งแรกในรายที่แพทย์มีความเห็นว่าจำเป็นอาจมีการตรวจเพิ่มเติมทางรังสี และหากท่านมีอาการดังนี้ต่อไปนี้โปรดรายงานให้แพทย์ทราบทันที
การวินิจฉัยอาการโรคปวดหลังเรื้อรังการเอกซเรย์ไม่ใช่ขั้นตอนที่จำเป็นที่ต้องทำเป็นอันดับแรกสำหรับการรักษา การเอกซเรย์จะจำเป็นสำหรับโรคที่มีแผลบาดเจ็บร่วมด้วย (เช่น อาการปวดร้าวลงขา การพลัดตก หรืออุบัติเหตุทางรถยนต์) หรือในผู้ป่วยที่อายุมากกว่า 50 ปี และผู้ป่วยที่มีปัญหาทางด้านสุขภาพอยู่แล้ว แพทย์อาจจะสั่งให้มีการทำการเอกซเรย์หากพบว่าอาการปวดหลังเกิดขึ้นมานานเกินกว่า 6 สัปดาห์ การตรวจจำพวก CT หรือ MRI อาจจะใช้ในกรณีที่พบอาการปวดร้าวลงขาแบบเรื้อรังร่วมด้วย และแพทย์ต้องการเห็นรายละเอียดของความผิดปกติมากขึ้น
การรักษาปวดหลังเรื้อรัง วิธีปฏิบัติง่ายๆดังต่อไปนี้อาจจะช่วยควบคุมอาการปวดได้ โปรดปรึกษาแพทย์หากท่านรู้สึกว่ายังได้รับการบรรเทาอาการปวดหลังเรื้อรัง ไม่เพียงพอ
การนอนพักให้หายจากปวดหลังเรื้อรังการนอนราบบนเตียงให้เพียงพอเป็นการลดปวดขั้นพื้นฐานที่ควรจะปฏิบัติในทุกราย อย่างไรก็ตาม การนอนพักบนเตียงนานๆ ไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องปวดหลัง ในความเป็นจริงแล้วการนอนพักบนเตียงเป็นระยะเวลานานมากกว่า 2 สัปดาห์ อาจจะยิ่งเพิ่มอาการปวดหลัง และอาการปวดร้าวลงขา ดังนั้น หากปวดมาก การนอนพักในช่วงแรกจึงไม่ควรเกิน 2-3 วัน และหลังจากนั้นให้ปฏิบัติกิจกรรมเบาๆ ตามสมควรจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
การประคบเย็น ประคบร้อนน้ำแข็งหรือแผ่นประคบเย็นสามารถช่วยลดอาการปวดและอาการบวมจากกล้ามเนื้อตึงเคล็ดได้ดี ควรใช้น้ำแข็ง หรือแผ่นประคบเย็นประคบทิ้งไว้ครั้งละประมาณ 20 นาที จำนวน 3 – 4 ครั้งต่อวันในช่วง 2-3 วันแรกเพื่อบรรเทาอาการปวด ท่านสามารถเลือกใช้วิธีประคบด้วยน้ำอุ่นก็ได้หากวิธีนี้สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดได้มากกว่า โดยเฉพาะในรายที่มีอาการปวดร้าวลงขามักได้ผลดี
การรับประทานยาปวดหลังเรื้อรังยาลดการอักเสบพื้นฐาน เช่น ไอบูโปรเฟน หรือแอสไพริน สามารถช่วยระงับอาการปวดและบวมบริเวณหลังได้ หากยาดังกล่าวออกฤทธิ์ระคายเคืองต่อกระเพราะอาหาร ควรเปลี่ยนเป็น อะเซตามิโนเฟน (พาราเซตามอล) หรือยาอื่นที่มีฤทธิ์ระคายเคืองน้อยกว่าทดแทน แพทย์อาจจะจ่ายยาคลายกล้ามเนื้อในช่วงระหว่าง 2 – 3 วันแรก เพื่อบรรเทาอาการตึงของกล้ามเนื้อ แต่ยาคลายกล้ามเนื้ออาจมีผลข้างเคียงทำให้ง่วงนอน บางกรณีแพทย์อาจสั่งสเตียรอยด์เพื่อบรรเทาอาการปวดร้าวลงขา อาจเป็นสเตียรอยด์ในรูปแบบของยารับประทานหรืออาจเป็นสเตียรอยด์ในรูปแบบฉีดได้เช่นกัน
อิริยาบถ การนอน และน้ำหนักตัวการปรับเปลี่ยนอิริยบทต่างๆ ในชีวิตประจำวันจะช่วยป้องกัน และลดอาการปวดหลังได้ อิริยาบทที่ถูกสุขลักษณะนั้นจะทำให้จุดศูนย์ถ่วงของน้ำหนักตัวอยู่ในแนวตั้งตรง และช่วยลดแรงกดทับไปสู่กล้ามเนื้อส่วนหลังได้ วิธีลดการกดทับไปยังกล้ามเนื้อส่วนหลังขณะนั่งนั้น ทำได้โดยการเลือกใช้เก้าอี้ที่มีพนักพิงซึ่งเหมาะสมกับแผ่นหลัง หรือจัดหาหมอนมาหนุนบริเวณหลังไว้ หรือเปลี่ยนอิริยาบทท่านั่งบ่อยๆก็สามารถช่วยได้ เวลานอน หากนอนท่าหงายควรใช้หมอนหนุนใต้หัวเข่า หากนอนท่าตะแคงการใช้หมอนรองระหว่างขาสองข้างก็เป็นอีกวิธีที่มีประโยชน์มาก ท่านอนดังกล่าวถือเป็นท่านอนที่สบายที่สุด การนอน ที่นอนควรจะแน่นพอสมควร ไม่ควรใช้ฟูกฟองน้ำหรือเตียงสปริง เพราะหลังจะจมอยู่ในแอ่ง ทำให้กระดูกสันหลังแอ่น ปวดหลังเพิ่มขึ้นได้ โรคอ้วน ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เพิ่มแรงกดทับให้แก่หลัง การลดน้ำหนักเพียงเล็กน้อยสามารถลดอาการและป้องกันการปวดหลังได้
การบริหารความเครียดแรงกดดันจากครอบครัว การงาน การเงินสามารถส่งผลให้เกิดอาการปวดหลังได้ การบริหารความเครียดอย่างถูกวิธีในแต่ละวันนั้นสามารถช่วยฟื้นฟูอาการปวดหลังได้เป็นอย่างดี ท่านสามารถขอคำแนะนำจากแพทย์ในทุกๆเรื่องที่สงสัย
การกลับคืนสู่กิจวัตรปกติการกลับไปทำงานหรือกิจวัตรประจำวันบ้างซัก 2 - 3 วันหรือสั้นกว่านั้น มีส่วนสำคัญในการช่วยฟื้นฟูร่างกาย การปรับเปลี่ยนภารกิจที่ต้องรับผิดชอบ หรือจำกัดชั่วโมงในการทำงานอาจเป็นเรื่องจำเป็น ท่านอาจจะรู้สึกว่าการเคลื่อนไหวไม่สะดวกบ้าง แต่การดำเนินกิจวัตรประจำวันนี้จะช่วยป้องกันหลังจากอาการอ่อนแรง และการปวดร้าวลงขา ควรหลีกเลี่ยงการยกของหนัก หรือการก้ม และบิดเอี้ยวตัวซ้ำๆ กายภาพบำบัดกับการลดอาการปวดหลังหากท่านประสบอาการปวดหลังอย่างรุนแรง ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ หรือหากท่านไม่สามารถกลับไปทำงาน ปฏิบัติกิจวัตรประจำวันได้ หรือมีอาการปวดหลังร้าวลงขาคล้ายการกดทับเส้นประสาท แพทย์อาจแนะนำให้ทำกายภาพบำบัดกระดูกสันหลัง กายภาพบำบัดกระดูกสันหลังเหล่านี้ช่วยฟื้นคืนสภาพความแข็งแรง และความสามารถในการเคลื่อนไหวและการประกอบกิจกรรม ประกอบไปด้วยการบริหารท่าพิเศษ อุปกรณ์บรรเทาอาการปวดหลัง (อัลตราซาวนด์ ความร้อน ความเย็น) การสอนสุขศึกษาเกี่ยวกับการใช้งานกระดูกและกล้ามเนื้อหลัง การฝังเข็มแบบจีน เป็นต้น โดยเฉพาะในรายที่มีอาการปวดหลังเรื้อรัง หรือมีแนวโน้มอาจมีการกดทับเส้นประสาท มีความจำเป็นต้องผ่านขั้นตอนการทำกายภาพบำบัดอย่างยิ่ง
การรักษาด้วยการผ่าตัดการรักษาด้วยการผ่าตัด มักเป็นการรักษาที่ศัลยแพทย์กระดูกสันหลังเลือกใช้ในกรณีที่มีข้อบ่งชี้ชัดเจน อาทิเช่น มีอาการปวดอย่างรุนแรง หรือมีการกดทับเส้นประสาทจนเกิดการทำงานของเส้นประสาทผิดปกติ อ่อนแรง เดินไกลไม่ได้ เป็นต้นการผ่าตัดที่นิยม อาทิเช่น การผ่าตัดขยายช่องทางออกของเส้นประสาทที่กระดูกสันหลัง หรือการทำ Decompressive Laminectomy การผ่าตัดเพื่อนำหมอนรองกระดูกที่แตกเคลื่อนทับเส้นประสาทออกด้วยวิธีผ่าตัดผ่านกล้องจุลทรรศน์ หรือการทำ Microscopic Discectomy เป็นต้น โดยทั่วไปการผ่าตัดหากการเลือกผู้ป่วยทำได้ถูกต้องโอกาสประสบความสำเร็จมีสูงมากกว่าร้อยละ 90
การออกกำลังกายเพื่อช่วยให้การฟื้นฟูร่างกาย และฟื้นฟูอาการปวดหลัง และ ฟื้นฟูอาการปวดร้าวลงขาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และป้องกันโรคอันเกี่ยวข้องกับปวดหลัง และปวดร้าวลงขา ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต จึงควรหมั่นดูแลร่างกาย หลัง กล้ามเนื้อหน้าท้อง และขา ให้อยู่ในสภาพดีแข็งแรงอยู่เสมอ พยายามลุกเดินทุกวันเมื่อท่านสามารถเดินได้ และค่อยๆ เพิ่มกิจกรรมที่สามารถช่วยพัฒนาหลังให้แข็งแรง เช่น ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน เริ่มออกกายบริหารหลังตามคำแนะนำที่บ้าน หรือภายใต้การดูแลของนักกายภาพ กายบริหารนี้ควรเริ่มปฏิบัติทันทีเมื่อท่านสามารถทำได้โดยไม่รู้สึกเจ็บปวด หลีกเลี่ยงท่ากายบริหารที่ส่งผลให้อาการปวดของท่านแย่ลง กายบริหารประมาณครั้งละ 10 – 30 นาที วันละ 1 – 3 ครั้ง ในช่วงระหว่างการฟื้นตัว ดังภาพประกอบด้านล่าง ท่ากายบริหารนี้จะอธิบายถึงวิธีปฏิบัติ และขั้นตอนต่างๆ ซึ่งควรปฏิบัติภายใต้คำแนะนำของนักกายภาพ Step ① Step ②
Step ③ Step ④
|